เพราะหนูเลือกเกิดไม่ได้ เปิดชีวิต เหล่าสาวน้อยลูกครึ่งในสลัมอันยากจน ผลผลิตจาก หนุ่มต่างชาติสายเที่ยว ตั้งคำถาม พ่อเคยคิดถึงหนูบ้างไหม
เดอะ การ์เดียน สื่อชั้นนำของอังกฤษ รายงานเรื่อง Do you ever think about me? : the children sex tourists leave behind เจาะลึกชีวิตเด็กลูกครึ่งในย่านสลัมของฟิลิปปินส์ อันเป็นผลผลิตจากการมาเที่ยวใช้บริการของชายตะวันตก และถูกทิ้งไว้ให้เติบโตในชุมชนแออัด
เด็กหญิง บริจิตต์ ซีแคต อายุ 10 ขวบ เป็นตัวอย่างหนึ่ง วันที่นักข่าวเดอะ การ์เดียนไปพูดคุยด้วย เด็กไม่ไปโรงเรียน เธอนั่งซุกขา สวมเสื้อลายหมีพูห์ซีดๆ บนฟูก 2 หลังซึ่งกินพื้นที่บ้านไปครึ่งหนึ่ง
ตอนกลางคืน เธอและยายกับลูกพี่ลูกน้องอีก 2 คนนอนเบียดกัน ใต้หลังคาสังกะสีผุๆ มีรูรั่ว วันนี้ มรสุมซัดกระหน่ำทำให้พื้นบ้านเต็มไปด้วยโคลน
บริจิตต์มีลูกพี่ลูกน้อง ชื่อ อารีอานา อายุ 11 ขวบ ไม่ไปโรงเรียนเช่นกัน เด็กทั้งสองมีอาการท้องเสีย ต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีห้องน้ำและน้ำประปา ทำอาหารอย่างอื่นไม่ได้นอกไปจากการใช้เตา ถึงแม้ว่าในช่วงที่สุขภาพพอไปได้ เธอก็ยังต้องทนหิวบ่อยๆ ขณะเดินไปโรงเรียนเป็นเวลา 10 นาที
แม่ของบริจิตต์เผย เด็กหญิงรู้ว่า ในที่ไกลออกไปจนยากจะจินตนาการ แต่ก็คิดถึงอยู่บ่อยๆ ว่าที่นั่นคืออังกฤษ เป็นบ้านของพ่อ และสิ่งเดียวที่รู้เกี่ยวกับพ่อคือ พ่อชื่อแมตธิว
เมื่อนักข่าวถามว่าเธออยากจะพูดอะไรถึงพ่อไหม บริจิตต์อึ้งไปและถามกลับเป็นภาษาตากาล็อกว่า
"คุณคือใคร คุณอยู่ที่ไหน คุณเคยคิดถึงหนูบ้างไหม"
บริจิตต์อาศัยอยู่กับ นางฮัวนาผู้เป็นยาย อายุ 61 ปี ทั้งนางฮัวนา เอเรียน บริจิตต์ และน้องชายของเอเรียน มีเงินประทังชีวิตเพียง 126 บาทต่อวัน ได้รับมาจากพ่อของเอเรียน และอาริส คนขับรถจิ๊บนี ซึ่งดัดแปลงมาจากรถจี๊บที่กองทัพสหรัฐ ปลดประจำการ
นางฮัวนาบอกว่า ตนเองอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่เธออยากเห็นหลานๆ เรียนจบเสียก่อนเพราะไม่อยากให้พวกเธอเข้าไปทำงานในบาร์
ในเมืองแองเจลิส จังหวัดปัมปังกาของฟิลิปปินส์ มีชุมชนแออัดหลายแห่ง เด็กๆ ที่นี่เป็นตัวแทนของบรรพบุรุษจากนานาชาติ
ย่านโคมแดงของแองเจลิส ซิตี Photograph: Dave Tacon
หน้าตาของเด็กๆ บอกถึงการสืบเชื้อสายจากคนหลายประเทศ มีทัั้งผิวเหลือง ผิวดำ หน้าตาคล้ายชาวเกาหลีหรือคนผิวขาว เป็นเพราะว่าพ่อ รวมทั้ง พ่อของบริจิตต์ เป็นนักท่องเที่ยวซื้อบริการ
เมื่อมองหาสลัมจากกูเกิลเอิร์ธ จะเห็นบ้านหลังคาสังกะสีและกองขยะตามถนนสายต่างๆ ไปจนถึงแม่น้ำ ถ้าเดินเข้าไปก็จะได้กลิ่นนมบูดและถ้าเข้าไปใกล้กองขยะก็จะยิ่งได้กลิ่นฉุนแสบจมูก ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของคนจนที่สุดในบรรดาคนจน รวมทั้ง ผู้หญิงที่แก่เกินกว่าจะทำงานค้าบริการได้ พวกเธอคุ้ยหาสิ่งพลาสติกหรือโลหจากใต้กระเบื้องกลิ่นเหม็นเพื่อขายเอาเงินมาประทังชีวิต ที่นี่เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกจากมอเตอร์ไซค์ ฝนและเสียงไชโยโห่ร้องของเหล่าผู้ชายจากวงไก่ชน เสียงไก่ร้องจากการต่อสู้ถึงตายซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย รวมทั้ง การค้าประเวณี
ผู้ชายที่อาศัยในสลัมเป็นคนงานก่อสร้างอาคารและโรงแรมที่เป็นแหล่งค้าบริการ หรือ คนขับรถ หรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ส่วนเด็กๆ วิ่งเท้าเปล่าหรือวิ่งในรางน้ำ หรือเล่นเกมโยนรองเท้าแตะเข้ากระป๋อง แม่ของเด็กเหล่านี้มัักเป็นลุูกหลานของโสเภณีที่มีลูกกับชาวต่างชาติที่ไม่รู้จักชื่อ ดังนั้น เด็กๆพวกนี้จึงเป็นคนรุ่นที่ 3 ที่ถูกพ่อทิ้ง
เมืองแองเจลิส ห่างจากกรุงมะนิลาไปทางเหนือประมาณ 85 กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวค้าบริการ เพียงแห่งเดียวในเอเชีย โดยมีช่องทางต่างๆ อย่างเฟซบุ๊กและเว็บไซต์มากมายจัดหาผู้ชายให้มาที่นี่
สิ่งพิเศษสุดของเมืองนี้คือ เกิร์ลเฟรนด์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ หรือ จีเอฟอี ซึ่งก็คือ หญิงบริการนั่นเอง ในสถานที่นี้แขกจ่ายเงินซื้อให้เป็นจีเอฟอีได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน เป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือนก็ได้ รวมถึงช่วงวันหยุดยาวก็พาสาวเหล่านี้ไปเที่ยวรีสอร์ทสวยๆ หรืือ นอนพักที่โรงแรมของแขก หรือ ที่ไหนก็ได้ที่แขกต้องการ
เอซา แม่ของบริจิตต์ พบกับแมตธิว ที่บาร์ในเมืองแองเจลิส เขามักจะมาปีละ 2 ครั้งและพบกับเอซาบ่อยๆ เป็นปกติ กระทั่งเธอตั้งครรภ์ แต่เขากลับบอกว่าจ่ายเงินค่ามีอะไรด้วยไปแล้ว
ขณะที่บริจิตต์มีอายุได้ 2 ขวบ ครอบครัวเอซาได้ยินข่าวว่าแมตธิวอยู่แถวๆนี้ อีกจึงพาเด็กน้อยไปหาที่บาร์ซึ่งเขามักจะมาเที่ยว แต่หนูน้อยเข้าไปข้างในไม่ได้ จนบาร์ปิดตัวลงเมื่อ 2 ปีก่อน จากนั้นมา ก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวแมตธิวอีกเลย ขณะที่แม่ของบริจิตต์ทิ้งเธอให้ยายเลี้ยงดู
เมืองแองเจลิส มีชื่อสเปนว่า ปูเอโบล เดอ ลอส แองเจลิส หรือ เมืองแห่งนางฟ้า เคยเป็นที่ตั้งฐานทัพอากาศคลาร์ก ในช่วงสงครามเวียดนาม และต่อมาเป็นฐานทัพของสหรัฐอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศสหรัฐฯ จนถึงปี 2534 เนื่องจากภูเขาไฟพินาทูโบซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 16 ก.ม.ระเบิดขึ้น ทำให้ต้องปิดฐานทัพ
ปัจจุบัน กลายเป็นสนามบินพาณิชย์และศูนย์กลางธุรกิจที่มีทั้งศูนย์คอล เซนเตอร์ โรงแรมและร้านอาหาร
ข้อมูลจากฝ่ายการท่องเที่ยวท้องถิ่น ระบุว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 4.7 ล้านคนมาเยือนฟิลิปปินส์ในแต่ละปี ในจำนวนนี้ เป็นผู้ชายที่มาเที่ยวเอง 1.2 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากเกาหลี สหรัฐฯ จีนและออสเตรเลีย ส่วนอังกฤษอยู่ในอันดับที่ 9 และตามด้วยประเทศอื่นๆ ในยุโรป
ปี 2554 แฮร์รี โธมัส เอกอัครรราชทูตสหรัฐฯ ประจำฟิลิปปินส์ กล่าวว่านักท่องเที่ยวชายที่มาซื้อบริการอย่างเดียว มีถึงร้อยละ 40 ทำให้เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์ตำหนิ ท่านทูตจึงขอโทษกระทรวงการต่างประเทศเนื่องจากยืนยันตัวเลขไม่ได้ ขณะที่ใครๆ ก็รู้กันดีอยู่ว่าท่านทูตพูดถูก
เนื่องจากนักท่องเที่ยวชายเหล่านี้เที่ยวฟิลิปปินส์โดยปราศจากผู้หญิงตะวันตก แต่กลับมีหญิงฟิลิปปินส์เคียงข้างตลอดหลายสัปดาห์
ในบล็อกหรือเว็บไวต์ต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยวชายที่ปักหมุดมาเมืองแองเจลิส มีการแลกเปลี่ยนความเห็นถึงประสบการณ์และเคล็ดลับต่างๆ
ชายคนหนึ่งเขียนว่า ไม่เคยมีปัญหากับผู้หญิงที่พาเข้าโรงแรม ไม่มีการตรวจบัตรประชาชน จะพาผู้หญิงไปกี่่คนก็ได้ จะพาผู้หญิงขึ้นห้องครั้งละ 2 หรือ 3 คนก็ได้
ส่วนผู้ชายอีกคนหนึ่งเชื่อว่าหญิงบริการในเมืองนี้ร้อยละ 40-50 มีลูกคนแรกกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นชาวยุโรป ออสเตรเลีย หรือ อเมริกัน ส่วนพวกผู้ชายซื้อบริการโดยไม่สวมถุงยางอนามัยเหล่านี้ ต่างก็ทิ้งลูกโดยไม่เคยเหลียวแล
ขอขอบคุณ เดอะ การ์เดียน,ข่าวสด
No comments: